หุ้นตกกระทบการบริโภคอย่างไร
โดย วรากรณ์ สามโกเศศ หนังสือพิมพ์มติชนรายวัน วันที่ 3 ตุลาคม 2545
เราได้ยินกันมานานว่าหากดัชนีหุ้นตก ซึ่งหมายถึงการสูญหายไปของมูลค่าหุ้นในตลาด (CAPITALIZATION ของตลาดหุ้น) จะทำให้มีรายจ่าย เมื่อการบริโภคซึ่งเป็นแรงกระตุ้นหนึ่ง ในเศรษฐกิจลดน้อยลง และปรากฏการณ์นี้ ครอบคลุมไปถึง การตกต่ำของราคาอสังหาริมทรัพย์ หรือการลดมูลค่าที่ดิน สิ่งก่อสร้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งบ้านหรือที่อยู่อาศัยด้วย
เหตุใดการลดต่ำลง ของมูลค่าสิ่งเหล่านี้ จึงมีผลกระทบต่อการใช้จ่าย ทั้งๆ ที่มูลค่าที่หายไปเหล่านี้ เป็นมูลค่าบนแผ่นกระดาษ เพราะผู้คนมิได้ขายออกไปจริงๆ และจะว่าไปแล้ว บางคนซื้อบ้านในราคาต่ำมากๆ (หากเทียบกับสมัยนี้) เมื่อ 50-60 ปี ก่อนด้วยซ้ำ?
มูลค่าหุ้นในตลาดของสหรัฐอเมริกา และอังกฤษในรอบ 6 เดือนที่ผ่านมา หายไปประมาณร้อยละ 23 ในขณะที่ในสหรัฐอเมริกา หายไปประมาณร้อยละ 20 และญี่ปุ่นร้อยละ 12 ซึ่งการหายไปเช่นนี้ มีผลทำให้การฟื้นตัว ของเศรษฐกิจอเมริกัน และญี่ปุ่นเป็นปัญหา (ทำให้อัตราการเจริญเติบโต ลดลงไปร้อยละ 1 ในสหรัฐอเมริกาและร้อยละ 0.25 ในญี่ปุ่น) โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในสหรัฐอเมริกา มีการใช้จ่ายของผู้บริโภค เป็นตัวผลักดันเศรษฐกิจที่สำคัญที่สุด
เศรษฐศาสตร์ ให้คำจำกัดความว่า รายได้ ประกอบด้วย รายจ่ายเพื่อการบริโภค (หรือการใช้จ่ายของผู้บริโภค) และเงินออม หรือพูดอีกอย่างหนึ่งว่า เงินออม คือรายได้ส่วนที่เหลือจากการใช้จ่ายเพื่อการบริโภค
นักเศรษฐศาสตร์เห็นตรงกันว่า ในระบบเศรษฐกิจ มีความสัมพันธ์ที่ชัดเจน ระหว่างรายจ่าย เพื่อการบริโภค และรายได้ แต่ที่เห็นต่างกันก็คือ ลักษณะของรายได้ บางคนก็เห็นว่า การใช้จ่ายของบุคคล หรือครัวเรือน จะขึ้นอยู่กับรายได้ที่เป็นตัวเงิน อีกส่วนหนึ่ง ที่เป็นส่วนใหญ่ขึ้นทุกที เห็นว่ารายได้ที่พูดถึงนี้คือ รายได้ถาวร (PERMANENT INCOME) กล่าวคือรายได้ประกอบ ด้วยรายได้ส่วนถาวร กับรายได้ชั่วคราว เช่น เงินถูกหวย เงินจากการพนัน เงินที่คนให้ ฯลฯ รายได้ถาวร คือรายได้ส่วนที่เจ้าของเข้าใจว่า จะมีความคงทน ไม่ลดหายไปอย่างชั่วครั้งชั่วคราว
ถ้ารายได้ถาวรเพิ่มขึ้น รายจ่ายเพื่อการบริโภคของครัวเรือน ก็จะเพิ่มขึ้น และกลับกัน ในกรณีที่รายได้ถาวรลดลง นอกจากนี้ก็ยังเห็นว่าการคาดคะเน (EXPECTATIONS) เกี่ยวกับฐานะเศรษฐกิจของตนเอง และของประเทศโดยรวม ก็มีบทบาทเช่นกันต่อการใช้จ่ายเพื่อการบริโภค หรือการออม
ความมั่งคั่ง(WEALTH) ของครัวเรือน เปรียบเสมือน ปริมาณน้ำที่อยู่ในถัง โดยรายได้คือ น้ำที่ไหลเข้าถัง และรายจ่ายคือน้ำที่ไหลออกจากถัง และปริมาณน้ำในถัง มีส่วนอย่างสำคัญ ในการเพิ่มพูน ปริมาณน้ำให้ไหลเข้าถังเพิ่มอีกทางหนึ่ง (ดอกเบี้ย เงินปันผล) และทำให้มีน้ำเก็บไว้กิน ในอนาคตยามเมื่อไม่มีน้ำไหลเข้าถังอีกต่อไป
ความมั่งคั่งของครัวเรือนได้แก่ มูลค่าของทรัพย์สิน มีค่าทั้งหมดที่ครัวเรือนเป็นเจ้าของ (บ้าน เฟอร์นิเจอร์ รถยนต์ บ้าน หุ้น พันธบัตร เงินฝากในธนาคาร เงินในกองทุนบำเหน็จบำนาญ เงินลงทุนไว้ในกิจการต่างๆ) ลบด้วยหนี้สิน
ครัวเรือนออมเพื่อที่จะเพิ่มพูนความมั่งคั่ง โดยครัวเรือนมีเป้าหมาย ของความมั่งคั่งในอนาคต เหตุที่ยอมเสียสละการบริโภค ก็เพื่อที่จะได้มีเงินออม ไปพอกพูนความมั่งคั่ง เพื่อความสบายในอนาคต
ถ้าจู่ๆ มีความมั่งคั่งเพิ่มขึ้น โดยไม่คาดฝัน (สมมุติว่าสิ่งอื่นๆ ไม่เปลี่ยนแปลง เช่น ภาวะเศรษฐกิจ) ก็จะทำให้มีความจำเป็นน้อยลง ในการออมดังที่เคยทำมา เพราะเขาสามารถมีความมั่งคั่งเพิ่มขึ้นได้เช่นกัน ซึ่งย่อมหมายถึง การใช้จ่าย เพื่อการบริโภคเพิ่มขึ้นในปัจจุบันนั่นเอง
ดังนั้น การเพิ่มขึ้นของความมั่งคั่ง อันเกิดจากหุ้นที่ตนเองถือไว้ หรือบ้านของตนเองมีมูลค่าเพิ่มขึ้น ซึ่งมีลักษณะของความถาวร ย่อมนำไปสู่การใช้จ่าย เพื่อการบริโภคที่เพิ่มขึ้นเสมอ
ในกรณีกลับกัน เมื่อมูลค่าหุ้น หรือมูลค่าบ้านลดลง ผู้คนก็จะใช้จ่ายเพื่อการบริโภคน้อยลง (หรือพูดอีกอย่างว่า ทำให้อำนาจซื้อ ในระบบเศรษฐกิจสูญหายไปส่วนหนึ่ง) เพราะทำให้เกิดความจำเป็นเพิ่มขึ้น ในการออม เพื่อรักษาระดับของความมั่งคั่งไว้ดังเดิม
และนี่แหละ คือคำอธิบายว่า เหตุใดเวลาหุ้นตก จึงพากันทุกข์ร้อนไปทั่วหน้า
ผลของการใช้จ่ายเพิ่มขึ้น หรือลดลง อันเนื่องมาจากความมั่งคั่ง ของครัวเรือนเปลี่ยนแปลง เศรษฐศาสตร์เรียกว่า WEALTH EFFECTS ซึ่งถ้าอธิบายแบบคนเดินถนนแบบหลวมๆ ก็คือเป็นผลที่เกิดขึ้น จากการรู้สึกว่าตนเองรวยขึ้น หรือจนลง เมื่อความมั่งคั่งของตน เปลี่ยนแปลงจนทำให้ปรับเปลี่ยนการใช้จ่ายไปด้วย
นอกเหนือจากการลดลง ของการใช้จ่าย เพื่อการบริโภคในประการแรกนี้แล้ว ในประการที่สอง การลดลงของความมั่งคั่ง ทำให้ต้นทุนในการกู้ยืม ของครัวเรือน เพิ่มสูงขึ้น อันเนื่องมาจาก มูลค่าของหลักทรัพย์ค้ำประกันลดลง
กล่าวคือเมื่อหุ้นและบ้านมีมูลค่าลดลง ยอดเงินกู้ยืมก็มีขีดจำกัดไปด้วย และหากต้องการกู้ยืมมากขึ้น ก็หมายความถึงการจ่ายอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น อันเนื่องมาจากความเสี่ยงที่สูงขึ้น อันเนื่องมาจากข้อจำกัด ของมูลค่าหลักทรัพย์ค้ำประกัน
ในประเทศพัฒนาแล้ว ที่ตลาดหุ้นมีขนาดใหญ่มาก (มี CAPITALIZATION สูง) จะมีสัดส่วนของประชากร ที่มีหุ้นอยู่ในตลาดหลักทรัพย์สูงมาก (ในสหรัฐอเมริกา มีสัดส่วนนี้ถึงร้อยละ 75)
การซื้อหุ้น จึงเปรียบเสมือนกับการฝากเงินไว้กับธนาคารที่มั่นคง สามารถถอนเงินออกมาเมื่อใดก็ได้ ด้วยการขายหุ้น หากดัชนีหุ้นพุ่งสูงขึ้น ก็เท่ากับว่าได้ "ดอกเบี้ยเงินฝาก" ในอัตราสูง
นอกจากนี้หากไม่ขาย และธุรกิจมีผลประกอบดี ก็ได้เงินปันผลกลับมา ดังนั้น จึงไม่น่าแปลกใจ ที่การขึ้นลงของราคาหุ้น เป็นข่าวที่ประชาชนสนใจเสมอ
ผลกระทบจากการลดลง ของความมั่งคั่งในประการที่สาม ได้แก่การเพิ่มขึ้นของต้นทุน ในการระดมทุนของธุรกิจ
เมื่อหลักทรัพย์ค้ำประกันมีมูลค่าลดลง ธุรกิจประสบปัญหาคล้ายกับครัวเรือน ในเรื่องขีดจำกัดของกู้ยืม จากสถาบันการเงิน ยามเมื่อหลักทรัพย์ค้ำประกัน มีความขลังน้อยลง ซึ่งสิ่งที่ถูกปรับให้สอดคล้อง กับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นนี้ ก็คืออัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นนั่นเอง
ผลกระทบในเรื่องนี้จะมีมากแค่ไหน ขึ้นอยู่กับขนาดของทุน ที่ธุรกิจในประเทศนั้นต้องการ และขอบเขต ที่ธุรกิจพึ่งพิงหุ้นเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันเงินกู้ ในการระดมทุน
การผันผวนของราคาหุ้น เป็นสิ่งที่ควบคุมได้ยากโดยเฉพาะในประเทศเล็ก ที่ตลาดหุ้นมีขนาดเล็ก การทุ่มซื้อหุ้น เพื่อแทรกแซงราคาหุ้นโดยบุคคลหนึ่ง สามารถทำได้อย่างไม่ยากเย็น
นอกจากนี้จิตวิทยา ของนักลงทุนที่เชื่อมโยง กับการคาดคะเน สภาวะตลาดหลักทรัพย์ใหญ่ๆ ในโลก ก็มีผลอย่างสำคัญ ต่อการผันผวนของราคาหุ้นไทยอีกด้วย
ความผันผวนของดัชนีตลาดหลักทรัพย์ ไม่ใช่เรื่องไร้สาระ ไม่ใช่การพนันดังที่บางคนเข้าใจ หากความผันผวน ของราคาหุ้นมีบทบาทสำคัญยิ่ง ในการระดมทุนของธุรกิจและการบริโภคของครัวเรือน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น